วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

หนุ่มใหญ่วัย 41 ปี เป็นโรคขาโต




กาฬสินธุ์- พบกาฬสินธุ์- พบหนุ่มใหญ่วัย 41 ปี เป็นโรคขาโตไปมาไม่ได้ ชีวิตสุดรันทดมีพี่สาวที่เป็นง่อยและหลานสาววัย 14 ปี คอยดูแลอาศัยบ้านที่เก่าผุพังมีชีวิตอยู่กับเงินเบี้ยยังชีพผู้พิการเดือนละ 500 บาท และความเมตตาของเพื่อบ้านที่หยิบยื่นอาหารให้แต่ละวัน วันนี้ (15 ก.ย.) นายนิคม ปัญจวัฒน์ นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ได้รับรายงานจาก นายอุทัย เศรษฐนันท์ กำนัน ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ และ นายดอน ถิ่นไพบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ว่ามีลูกบ้านป่วยเป็นโรคประหลาดขาทั้งสองข้างมีขนาดมหึมา อีกทั้งยังเป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจน จึงได้เดินทางไปสำรวจข้อเท็จจริงพร้อมกับผู้สื่อข่าว และ นางนิตยา แสงสะเดา พยาบาลผู้ดูแล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (รพ.สต.) คำไผ่ ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ คณะได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 21 หมู่ที่ 5 ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งสภาพบ้านเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนไม่สูงหนัก ด้านหน้าเป็นชานยื่นออกมามุงหลังคาด้วยสังกังกะสี โดยตัวบ้านทรุดเอียงไปข้างหนึ่งขณะที่ตัวบ้านที่เป็นไม้อยู่ในสภาพที่ผุพัง มาก เจ้าหน้าที่ได้พบ นางประดิษฐ์ ถิ่นรัศมี อายุ 48 ปี เจ้าของบ้านกำลังประกอบอาหาร และยังพบว่ามีคนป่วยนอนอยู่บนบ้านจึงขึ้นไปดู และต้องตกใจเมื่อต้องพบเจอกับภาพที่เห็น คือ คนที่มีขาทั้งด้านซ้ายและขวามีขนาดใหญ่มหึมามากผิดปกตินอนอยู่บนเตียงที่ อยู่บริเวณชานหน้าบ้าน จากการสอบถามจึงได้ทราบว่า เป็นน้องชายของ นางประดิษฐ์ เจ้าของบ้าน คือ นายปรีชา ถิ่นรัศมี อายุ 41 ปี และทันทีที่พบว่ามีแขกมาเยี่ยม นายปรีชา ได้หอบขาทั้งสองข้างที่คาดว่าจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ลงมาพูดคุยกับแขกที่มาเยี่ยมด้วยอาการดีใจ พร้อมหยิบกีตาร์มาเล่นต้อนรับคณะด้วย นางนิตยา แสงสะเดาะ พยาบาลประจำ รพ.สต.คำไผ่ ผู้ดูแล กล่าวว่า ที่บ้านหลังนี้ได้อาศัยอยู่ทั้งหมด 3 คน มีผู้พิการ 1 คน ก็คือ นายปรีชา ถิ่นรัศมี และมีพี่สาวกับหลานสาวเป็นผู้ดูแล โดยตลอดระยะเวลาที่ได้เข้ามาดูแลผู้ป่วยรายนี้สิ่งที่ทำได้ คือ การให้กำลังใจและหาหนทางช่วยในวิธีการต่างๆ สิ่งที่พบคือ สภาพจิตใจของผู้ป่วยดีเยี่ยมไม่กังวลหรือท้อแท้ และตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ย้ายมาและเข้าไปดูแลผู้ป่วยรายนี้ถือว่าว่าน่าสงสารที่สุด อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่าเมื่อครั้งที่ผู้ป่วยเด็กๆ เริ่มมีอาการขาโตมาตลอด ได้รับการตรวจจากหมอที่กรุงเทพมาช่วยตรวจดู ซึ่งได้เอาเลือด เนื้อเยื่อไปตรวจ และการตรวจร่างกายของผู้ป่วย รายงานทางการแพทย์ระบุไม่ได้เป็นโรคเท้าช้างแต่น่าจะเกิดจากความ บกพร่อง หรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อส่วนขา แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนเลยและขาก็โตขึ้นเรื่อยๆ และการที่ไปไหนมาไหนไม่ได้ หรือถ้าจะไปก็จะต้องมีคนอุ้ม 2-3 คน ใส่รถเข็น ซึ่งเป็นความลำบากมาก ก็เคยถามอยู่ว่าเคยน้อยใจในชีวิตที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ไหม อยากตายไหม เขาก็ตอบว่าไม่เพราะมีครอบครัวมีคนดูแลมีคนที่รักอยู่ อยู่มาได้ขนาดนี้แล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ต่อไป ทั้งนี้ ในการดูแลทาง รพ.สต.คำไผ่ ก็ทำได้แค่การเข้าไปส่งเสริมสุขภาพด้านกายและใจของผู้ป่วยให้ดีเท่านั้นส่วน ด้านการรักษาหรือวินิจฉัยมันทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ทั้งนี้ ยังได้มอบหมายให้ นางหนูพร พิมพะไสย์ อสม.ผู้ดูแลให้ความใส่ใจใกล้ชิดเป็นพิเศษด้วย และในตอนนี้ขนาดขายิ่งโตมากขึ้น โดยเฉพาะขาด้านซ้ายที่จะโตกว่าขาด้านขวา ตอนนี้ขาด้านซ้ายช่วงที่โตที่สุดมีวัดโดยรอบได้ขนาด 68 ซม.เล็กสุด 54 ซม. ส่วนด้านขวาวัดโดยรอบได้ 47 ซม.และ 42 ซม.ส่วนหน้ำหนักยังไม่สามารถมีเครื่องมือมาวัดได้ นายปรีชา เล่าว่า ได้เริ่มป่วยมาตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบ ขาด้านซ้ายมันโตมากและเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงที่อยู่ ป.6 มันโตมากจนเดินลำบากเลยไม่ได้ไปเรียนหนังสือก็เลยเรียนไม่จบ พ่อกับแม่ก็ยากจนไม่มีรถที่จะพาไปหาหมอ ไม่มีเงินรักษาก็เลยไม่ได้รักษาอะไรที่ไหนอย่างจริงจัง หมอที่เข้ามาดูก็มาแล้วก็ไปจะให้ช่วยเหลือแบบเต็มร้อยรักษาจนหายยังไม่มี เพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตามร่างกายที่มันโตผิดปกติไม่มีอาการเจ็บหรือปวด จนช่วงอายุ 32-33 ปี มันโตขึ้นมากจนเดินไม่ได้ พ่อแม่ก็เสียชีวิตหมดเหลือแต่พี่สาวที่เป็นหม้ายและหลานสาวคอยช่วยเหลือดูแล ทุกอย่าง อยู่ในสภาพนี้แบบนี้มาตลอดแต่ไม่ท้อถอยเพราะได้กำลังใจดีจากพี่สาว ที่ถึงแม้ว่าจะยากจนมีอาชีพรับจ้าง อีกทั้งพี่สาวก็ไม่ค่อยสมประกอบมือด้านขวาหงิกก็ยังสู้หาเงินมา เลี้ยงน้องตัวเองก็ไม่อยากให้พี่ต้องเสียใจ ทุกวันนี้ 3 ชีวิตมีรายได้หลักจากเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท เท่านั้น “สิ่งที่อยากได้ให้ผู้ใจบุญเข้ามาช่วยเหลือนอกเหนือจากการรักษาอาการ ป่วยของตนเอง ก็คือ บ้าน เพราะบ้านที่อยู่อาศัยทุกวันนี้ไม่รู้จะพังลงวันไหนเพราะเป็นบ้านไม้ อีกทั้งยังต้องขึ้นลงเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านล่างมันลำบากมากคนที่อุ้มหอบ หิ้วก็หนักสงสารมาก ถ้าได้บ้านชั้นเดียวคงจะแบ่งเบาภาระคนที่ดูแลเราได้บ้าง” ด้าน นายนิคม ปัญจวัฒน์ นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่รับทราบข้อมูลแล้วก็จะทำเรื่องรายงานไปยังผู้ว่าราชการ จังหวัดกาฬสินธุ์ และนายกเหล่ากาชาดเพื่อหาทางรักษาและช่วยเหลือให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการดูแลเรื่องความเป็นอยู่เพราะเสาหลักของครอบครัวมีอาชีพ รับจ้างรายได้น้อย และจากการสอบถามยังทราบว่าทุกวันนี้อยู่ได้ ก็เพราะมีเพื่อนบ้านที่คอยหยิบยื่นอาหารให้ในแต่ละวันเท่านั้นไปมาไม่ได้ ชีวิตสุดรันทดมีพี่สาวที่เป็นง่อยและหลานสาววัย 14 ปี คอยดูแลอาศัยบ้านที่เก่าผุพังมีชีวิตอยู่กับเงินเบี้ยยังชีพผู้พิการเดือนละ 500 บาท และความเมตตาของเพื่อบ้านที่หยิบยื่นอาหารให้แต่ละวัน วันนี้ (15 ก.ย.) นายนิคม ปัญจวัฒน์ นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ได้รับรายงานจาก นายอุทัย เศรษฐนันท์ กำนัน ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ และ นายดอน ถิ่นไพบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ว่ามีลูกบ้านป่วยเป็นโรคประหลาดขาทั้งสองข้างมีขนาดมหึมา อีกทั้งยังเป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจน จึงได้เดินทางไปสำรวจข้อเท็จจริงพร้อมกับผู้สื่อข่าว และ นางนิตยา แสงสะเดา พยาบาลผู้ดูแล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (รพ.สต.) คำไผ่ ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ คณะได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 21 หมู่ที่ 5 ต.หนองกุง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งสภาพบ้านเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนไม่สูงหนัก ด้านหน้าเป็นชานยื่นออกมามุงหลังคาด้วยสังกังกะสี โดยตัวบ้านทรุดเอียงไปข้างหนึ่งขณะที่ตัวบ้านที่เป็นไม้อยู่ในสภาพที่ผุพัง มาก เจ้าหน้าที่ได้พบ นางประดิษฐ์ ถิ่นรัศมี อายุ 48 ปี เจ้าของบ้านกำลังประกอบอาหาร และยังพบว่ามีคนป่วยนอนอยู่บนบ้านจึงขึ้นไปดู และต้องตกใจเมื่อต้องพบเจอกับภาพที่เห็น คือ คนที่มีขาทั้งด้านซ้ายและขวามีขนาดใหญ่มหึมามากผิดปกตินอนอยู่บนเตียงที่ อยู่บริเวณชานหน้าบ้าน จากการสอบถามจึงได้ทราบว่า เป็นน้องชายของ นางประดิษฐ์ เจ้าของบ้าน คือ นายปรีชา ถิ่นรัศมี อายุ 41 ปี และทันทีที่พบว่ามีแขกมาเยี่ยม นายปรีชา ได้หอบขาทั้งสองข้างที่คาดว่าจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ลงมาพูดคุยกับแขกที่มาเยี่ยมด้วยอาการดีใจ พร้อมหยิบกีตาร์มาเล่นต้อนรับคณะด้วย นางนิตยา แสงสะเดาะ พยาบาลประจำ รพ.สต.คำไผ่ ผู้ดูแล กล่าวว่า ที่บ้านหลังนี้ได้อาศัยอยู่ทั้งหมด 3 คน มีผู้พิการ 1 คน ก็คือ นายปรีชา ถิ่นรัศมี และมีพี่สาวกับหลานสาวเป็นผู้ดูแล โดยตลอดระยะเวลาที่ได้เข้ามาดูแลผู้ป่วยรายนี้สิ่งที่ทำได้ คือ การให้กำลังใจและหาหนทางช่วยในวิธีการต่างๆ สิ่งที่พบคือ สภาพจิตใจของผู้ป่วยดีเยี่ยมไม่กังวลหรือท้อแท้ และตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ย้ายมาและเข้าไปดูแลผู้ป่วยรายนี้ถือว่าว่าน่าสงสารที่สุด อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่าเมื่อครั้งที่ผู้ป่วยเด็กๆ เริ่มมีอาการขาโตมาตลอด ได้รับการตรวจจากหมอที่กรุงเทพมาช่วยตรวจดู ซึ่งได้เอาเลือด เนื้อเยื่อไปตรวจ และการตรวจร่างกายของผู้ป่วย รายงานทางการแพทย์ระบุไม่ได้เป็นโรคเท้าช้างแต่น่าจะเกิดจากความ บกพร่อง หรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อส่วนขา แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนเลยและขาก็โตขึ้นเรื่อยๆ และการที่ไปไหนมาไหนไม่ได้ หรือถ้าจะไปก็จะต้องมีคนอุ้ม 2-3 คน ใส่รถเข็น ซึ่งเป็นความลำบากมาก ก็เคยถามอยู่ว่าเคยน้อยใจในชีวิตที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้ไหม อยากตายไหม เขาก็ตอบว่าไม่เพราะมีครอบครัวมีคนดูแลมีคนที่รักอยู่ อยู่มาได้ขนาดนี้แล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ต่อไป ทั้งนี้ ในการดูแลทาง รพ.สต.คำไผ่ ก็ทำได้แค่การเข้าไปส่งเสริมสุขภาพด้านกายและใจของผู้ป่วยให้ดีเท่านั้นส่วน ด้านการรักษาหรือวินิจฉัยมันทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ทั้งนี้ ยังได้มอบหมายให้ นางหนูพร พิมพะไสย์ อสม.ผู้ดูแลให้ความใส่ใจใกล้ชิดเป็นพิเศษด้วย และในตอนนี้ขนาดขายิ่งโตมากขึ้น โดยเฉพาะขาด้านซ้ายที่จะโตกว่าขาด้านขวา ตอนนี้ขาด้านซ้ายช่วงที่โตที่สุดมีวัดโดยรอบได้ขนาด 68 ซม.เล็กสุด 54 ซม. ส่วนด้านขวาวัดโดยรอบได้ 47 ซม.และ 42 ซม.ส่วนหน้ำหนักยังไม่สามารถมีเครื่องมือมาวัดได้ นายปรีชา เล่าว่า ได้เริ่มป่วยมาตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบ ขาด้านซ้ายมันโตมากและเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงที่อยู่ ป.6 มันโตมากจนเดินลำบากเลยไม่ได้ไปเรียนหนังสือก็เลยเรียนไม่จบ พ่อกับแม่ก็ยากจนไม่มีรถที่จะพาไปหาหมอ ไม่มีเงินรักษาก็เลยไม่ได้รักษาอะไรที่ไหนอย่างจริงจัง หมอที่เข้ามาดูก็มาแล้วก็ไปจะให้ช่วยเหลือแบบเต็มร้อยรักษาจนหายยังไม่มี เพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตามร่างกายที่มันโตผิดปกติไม่มีอาการเจ็บหรือปวด จนช่วงอายุ 32-33 ปี มันโตขึ้นมากจนเดินไม่ได้ พ่อแม่ก็เสียชีวิตหมดเหลือแต่พี่สาวที่เป็นหม้ายและหลานสาวคอยช่วยเหลือดูแล ทุกอย่าง อยู่ในสภาพนี้แบบนี้มาตลอดแต่ไม่ท้อถอยเพราะได้กำลังใจดีจากพี่สาว ที่ถึงแม้ว่าจะยากจนมีอาชีพรับจ้าง อีกทั้งพี่สาวก็ไม่ค่อยสมประกอบมือด้านขวาหงิกก็ยังสู้หาเงินมา เลี้ยงน้องตัวเองก็ไม่อยากให้พี่ต้องเสียใจ ทุกวันนี้ 3 ชีวิตมีรายได้หลักจากเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท เท่านั้น “สิ่งที่อยากได้ให้ผู้ใจบุญเข้ามาช่วยเหลือนอกเหนือจากการรักษาอาการ ป่วยของตนเอง ก็คือ บ้าน เพราะบ้านที่อยู่อาศัยทุกวันนี้ไม่รู้จะพังลงวันไหนเพราะเป็นบ้านไม้ อีกทั้งยังต้องขึ้นลงเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านล่างมันลำบากมากคนที่อุ้มหอบ หิ้วก็หนักสงสารมาก ถ้าได้บ้านชั้นเดียวคงจะแบ่งเบาภาระคนที่ดูแลเราได้บ้าง” ด้าน นายนิคม ปัญจวัฒน์ นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่รับทราบข้อมูลแล้วก็จะทำเรื่องรายงานไปยังผู้ว่าราชการ จังหวัดกาฬสินธุ์ และนายกเหล่ากาชาดเพื่อหาทางรักษาและช่วยเหลือให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการดูแลเรื่องความเป็นอยู่เพราะเสาหลักของครอบครัวมีอาชีพ รับจ้างรายได้น้อย และจากการสอบถามยังทราบว่าทุกวันนี้อยู่ได้ ก็เพราะมีเพื่อนบ้านที่คอยหยิบยื่นอาหารให้ในแต่ละวันเท่านั้น








วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554





















เชื่อ หรือ ไม่ ป่าต้นเมเปิ้ล (Maple) ขนาดพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร (ขนาดพื้นที่เท่ากับสระว่ายน้ำมาตราฐาน โอลิมปิก 1 สระ ) สามารถปล่อยน้ำขึ้นสู่อากาศได้วันละประมาณ 93,425 ลิตร ต่อ วัน ( หรือเท่ากับว่า ต้นเมเปิ้ล ใช้เวลา 107 วัน ปล่อยน้ำในสระทั้่งหมดขี้นสู่อากาศ )





















เชื่อ หรือ ไม่ ต้นไม้บางพันธุ์สามารถ สื่อสารกันได้ เมื่อเกิดเหตุมี หนอน หรือ แมลง เข้ามากัดกินต้นไม้่ พวกมันจะปล่อยสารเคมี เพื่อแจ้งเตือนให้ต้นไม้ข้างเคียง ให้เตรียมตัวรับมือโดยการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า แทนนิน (Tannin) ฉีดไปตามส่วนต่างของต้นไม้เพื่อป้องกันแมลง





















เชื่อ หรือ ไม่ มีต้นไม้ที่ไม่ใช้ต้นกระบองเพชร ขึ้นกลางทะเลทรายซาฮาร่า ประเทศไนเจอร์ ต้นไม้ต้นนี้ชื่อว่า Ténéré เป็นพันธุ์ อคาเซีย (acacia) มันเป็นต้นไม้ต้นเดียวในบริเวณนั้น โดยห่างจากต้น Ténéré ไป 400 กิโลเมตร ( ก็ประมาณ จากกรุงเทพ ไป บุรีรัมย์ไม่มีต้นไม้ขึ้นซักต้น ) และอย่างที่บอกต้นไม้ไม่แก่ตาย มันถูกรถบรรทุกน้ำชน หัก และตายในเวลาต่อมา





















เชื่อ หรือ ไม่ โดยเฉลี่ยอายุต้นไม้ในโลกนี้อยู่ที่ 8 ปี ( ก็จะโค่นลงจาก แมลง ติดเชื้อ เกิดภัยธรรมชาติ และที่สำคัญถูกคนตัดโค่นโดยน้ำมือมนุษย์ )




















เชื่อ หรือ ไม่ ต้นไม้มีมากมายกว่า 20,000 ชนิด และคลังต้นไม้ใหญ่ที่สุดในโลก คือที่สหรัฐอเมริกา และอันดับสอง คือ อินเดีย





















เชื่อ หรือ ไม่ ต้นไม้ยืนต้นไม่มีวันแก่ตาย(ทางทฤษฎี) แต่ต้นไม้จะตายโดยสาเหตุ จากแมลง โรคต้นไม้ และที่สำคัญจากน้ำมือมนุษย์ที่ตัดโค่นต้นไม้ ดังตัวอย่าง ต้นไม้ อายุยืนที่สุดในโลก อายุกว่า 4844 ปี ชื่อว่า พโระมี-ธยูซ เป็นต้นสน Great basin bristlecone ที่ถูกโคนโดยนักศึกษา ที่กำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับยุคน้ำแข็ง หลังจากพวกเขาตัดโค่นต้นไม้ลงจึงพบว่าได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ลงซะแล้วแล้ว ว่าไ้ทำการโค่น ต้นไม้ ที่อายุยืนที่สุดในโลก ไปด้วยน้ำมือตนเองเนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์



รถคันเเรกของโลก




















Aug. 30 1885 นาย Gottlieb Daimler ได้สร้างรถมอเตอร์ไซค์ คันแรกในโลกข้อมูล มอเตอร์ไซค์ คันแรกในโลก
รถมอเตอร์ไซค์ คันนี้มีชื่อว่า "Reitwagen" เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า "riding car" หรือ รถขี่
เครื่องยนต์สันดาษภายใน แบบหนึ่งสูบ สี่จังหวะ ที่เรียกว่า Otto-cycle engine
เครื่องยนต์มีความเร็วรอบ 264 ccm
เครื่องยนต์มีกำลัง 0.5 แรงม้า
ทำความเร็วสูงสุดได้ 12 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง
ตัวโครงรถทำจากไม้
รถหนัก 90 กิโลกรัม
มีล้อมหน้า และหลังขนาด 1030 มิลลิเมตรเรื่องจากรูป ด้านบน รถมอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นคันจำลองที่ จัดแสดงอยู่ที่ Museum of the Daimler-Benz AG เนื่องจากคันจริงถูกเผาไปในโรงงานที่ Cannstatt plant เมื่อปี 1903