วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

“10 ปลา”... ที่... “น่าเกลียด”... ที่สุดในโลก...

อันดับ 10 Great white shark

ฉลามขาวยังคงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ยังคงหวาดกลัวมันจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเรา
สามารถพบเห็นมันตามแถบทะเลชายฝั่งเกือบทั่วทุกมุมโลก ด้วยขนาดตัวที่ค่อน
ข้างใหญ่ และมีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนักประมาณ 2250 กิโลกรัม
(กินเนสบุ๊ค ออฟ เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness Book of World Records) ได้บันทึก
ปลาฉลามขาวที่ตัวใหญ่ที่สุดไว้ได้ 2 ตัวซึ่งตัวหนึ่งยาว 11 เมตรจับได้ที่ทางตอนใต้
ของประเทศออสเตรเลีย ใกล้กับพอท แฟร์รี่ (Port Fairy) ในปี 1870
และอีกตัวหนึ่ง ยาว 11.3 เมตร ติดอวนชาวประมงที่เมือง New Brunswick ประเทศ
แคนาดา ในปี 1930) ทำให้ปลาฉลามขาวเป็นปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์เดียวในสกุล Carcharodon ที่ยังเหลืออยู่
ปลาฉลามขาวเป็นสัตว์กินเนื้อ เหยื่อที่มันเลือกจะล่ามีปลา (รวมทั้งปลากระเบนและ
ฉลามที่ตัวเล็กกว่า) ปลาโลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล เต่าทะเล และเต่าตะหนุ ทั้งยังมีชื่อ
ในเรื่องกินไม่เลือก แม้กระทั่งของที่กินไม่ได้อย่างกระป๋อง ทุ่มลอยน้ำ และฉลามขาว
มีจมูกที่ไวต่อกลิ่นเลือดเป็นอย่างมาก เพราะฉลามขาวสามารถได้กลิ่นเลือดเพียง 1
หยดที่อยู่ไกลออกไปถึง 3 กิโลเมตร
ส่วนเรื่องของปลาฉลามขาวจู่โจมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันมากผ่านทางภาพยนตร์ อย่าง
เช่นเรื่อง จอร์ (Jaws) ผลงานของสตีเว่น สปิวเบอร์ก (Steven Spielberg) แสดงให้
เห็นถึงภาพฉลามที่โหดร้าย กินคน และเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับมนุษย์ ให้ฝังในใจของ
ผู้ชม อย่างไรก็ตาม จากรายงานพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากถูกปลาฉลาม
ขาวจู่โจมในรอบ 100 ปี มีน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกสุนัขกัดเสียอีก


อันดับ 9 Frilled shark

Frilled shark เป็นฉลามในสกุล Chlamydoselachus มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์
ว่า Chlamydoselachus anguineus เดิมคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่มีรายงานพบใน
หลายพื้นที่ รวมถึงในเขตน่านน้ำญี่ปุ่น ทำให้กลายเป็น “ฟอสซิลมีชีวิต” อีกชนิดหนึ่ง
ที่ยังคงมีชีวิตเหลือรอดในยุคครีเทเชียส จนกระทั่งปัจจุบัน ช่วงศตวรรษที่ 19 ล่าสุด
ในเดือนมกราคมปี 2007 ชาวประมงญี่ปุ่นพบตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ในเขตน้ำตื้นนอกชายฝั่ง
ใกล้สวนน้ำอะวาชิมาในเมืองชิสึโอกาทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว
ก่อนตายในเวลาต่อมา นอกนี้มันน่าจะกระจายไปทั่วโลก ในน้ำลึกตั้งแต่ระดับ
400-4,200 ฟุต ทำให้เป็นฉลามที่หายาก พบมากในเขตใกล้นอร์เวย์ แอฟริกาใต้
นิวซีแลนด์ และชิลี (สำหรับตัวที่พบที่ญี่ปุ่นเชื่อว่าอาจขึ้นมาเหนือน้ำเพราะป่วยหรือ
อ่อนแอ ผลจากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น)
หน้าตาของฉลามชนิดนี้แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันทั่วไป เพราะคล้ายกับปลาไหล
สีน้ำตาลหรือสีเทามากกว่า แต่การมีช่องเหงือก 6 คู่ เป็นจุดที่ยืนยันว่ามันคือฉลาม
ตัวเต็มวัยยาวได้ถึง 6.5 ฟุต ส่วนตัวที่พบล่าสุดยาว 5.3 ฟุต และเป็นไปได้ว่ามันมี
พัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยดึกดำบรรพ์น้อยมาก มีฟันแตกเป็นดอกแหลม
3 แฉก คาดว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวตัวหนึ่ง แต่ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์


อันดับ 8 Wolf Fish


Seawolf ปลาหมาป่าหรือหมาป่าทะเล (นอกจากนี้ยังมีหลายชื่อเช่น Atlantic catfish,
ocean catfish, wolf eel )เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่จำพวก Anarhichas เป็นปลาโบราณ
อีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในโลกเมื่อ 50 ล้านปีมาแล้ว บางชนิดอยู่ในเขตร้อนในน้ำจืด
แต่พวกมันชอบอยู่ในน้ำเย็นมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มากกว่า โดยมักอาศัยหลบ
ซ่อนตามโขดหินปลาหมาป่าเป็นปลาที่มีหัวค่อนข้างใหญ่ มีปากขนาดใหญ่และฟัน
แหลมคม ฟันนี้ใช้สำหรับแทะเพื่อกินเม่นทะเลเป็นอาหาร (สัตว์น้ำจำพวกที่มีเปลือก
เป็นอาหารหลักของมัน) พวกมันสามารถมีขนาดใหญ่ถึง 20 กิโลกรัม และสามารถยาว
ถึง 150 เซนติเมตร ผิวมีสีน้ำเงินเข้มแต่พอขึ้นจากน้ำดันเป็นสีน้ำตาลซะงั้น นั้นคือ
ข้อมูลเล็กๆน้อยทางชีวะของมัน ที่สำคัญปลาหมาป่านั้นมีรสชาติอร่อยมาก มนุษย์ชอบ
จับมันเป็นอาหารในจำนวนมากๆ แต่คงต้องระมัดระวังมากหน่อยละเกี่ยวกับฟันของมัน
ลองได้กัดผิวนุ่มๆ ของมนุษย์ละก็เป็นอันไม่ปล่อย


อันดับ 7 Goliath Tigerfish

ปลา Tiger Fish เป็นปลาน้ำจืดกลุ่ม Characin(กลุ่มเดียวกับปิรันย่า) ที่มีขนาดใหญ่
มักอาศัยใน แม่น้ำ Lualaba และทะเลสาป Tanganyika ประเทศคองโก ขนาดใหญ่สุด
มี น้ำหนักถึง 80 ปอนด์ ที่เรียกว่า “ปลาเสือ” ก็เพราะ ก็อันเนื่องมาจากข้อมูลพฤติกรรม
ของมันที่เป็นนักล่ามาแต่กำเนิด บวกกับเขี้ยวของมันและด้วยรูปร่างของมันคล้าย
ตอร์ปิโด คือมีรูปร่างที่เพรียว ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำให้เคลื่อนที่ได้เร็วทำให้ได้เปรียบ
ในการค้นหาและล่าเหยื่อ ลักษณะของเกล็ดมีขนาดใหญ่ มีสีเงินวาว และที่ตัวเกล็ดจะ
มีจุดสีเข้ม ด้วยเหตุนี้ทำให้เห็นเป็นลายพาดตามยาวไปตามแนวข้างลำตัวเหนือเส้น
ข้างลำตัว ทำให้มองดูคล้ายลายของเสือลายพาดกลอน
นอกจากนี้มันยังมีนิสัยก้าวร้าวมาก เป็นหนึ่งในนักล่าที่น่าหวาดกลัวที่สุดในแหล่งน้ำจืด
เท่าที่รู้จักกันมา สัตว์ใดก็ตามที่ตกเป็นเหยื่อของมันก็ยากที่จะมีชีวิตรอดอยู่ได้ เมื่อตก
เป็นเหยื่อ มันจะใช้การกัด เพราะมันมีฟันที่แหลมคมราวกับมีด อีกทั้งยังมีกล้ามเนื้อ
ขากรรไกรที่แข็งแกร่งและทรงพลัง สำหรับพวกมันแล้วมันล่าได้ทั้งที่มีขนาดเท่ากับ
ตัวมันหรือแม้แต่ที่ สัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมัน ส่วนมันเคยทำร้ายมนุษย์หรือเปล่านั้น
ไม่เคยมีรายงาน
ปลาชนิดนี้แม้ดูจะน่ากลัวก็จริง แต่มันไม่ได้จัดเป็นปลาสงวนตามสนธิสัญญาอะไรทั้ง
สิ้น และเป็นปลาที่นักตกปลานิยมตกมากที่สุด เนื่องจากมีพละกำลังมากเหมาะในการ
ท้าทายในการตกอย่างยิ่ง


อันดับ 6 cookiecutter shark

ฉลามคุกกี้คัตเตอร์ หรือ cigar shark ชื่อออกน่ารัก แต่นิสัยมันไม่น่ารักเลยนะครับ
มันเป็นปลาฉลามอีกพันธุ์ที่หายาก อาศัยน้ำลึก 500 ฟุต มีขนาดเล็กขนาดเท่าซิการ์
เท่านั้น แต่พิษสงมันเหลือร้ายทำให้มันล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างวาฬและโลมาเป็น
อาหารได้สบายๆ โดยฉลามคุกกี้คัตเตอร์นั้นมีเทคนิคซุ่มโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากการ
เรืองแสงในตัวเหมือนกับผี เป็นกับดักล่อฝูงทูน่าครีบเหลืองให้พุ่งตรงเข้ามา และเมื่อ
มันจู่โจมมันตะปบกัดและบิดตัวกัดเอาเนื้อออกไปเป็นก้อนกลมเหมือนลูกกอล์ฟ
เหมือนขนมคุกกี้


อันดับ 5 แฮคฟีช (hagfish)


แฮคฟีช (hagfish) รูปร่างเหมือนทากหรือปลิงแต่ความจริงแล้วเป็นปลา เป็นปลา
ไม่มีขากรรไกรที่อาศัยอยู่ในทะเล โดยการกินปลาตาย หรือใกล้ตายรวมทั้งสัตว์ไม่
มีกระดูกสันหลังที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม กลุ่มหนอนปล้อง มอลลัสและครัสเตเชียน ดังนั้น
แฮคพีช จึงไม่เป็นปาราสิต และไม่ได้เป็นสัตว์ล่าเหยื่อ แต่ค่อนมาทางกินซากสัตว์
มากว่า แฮคฟีชมีประมาณ 32 ชนิด ชนิดที่รู้จักกันดีในอเมริกาเหนือ ในมหาสมุทร
แอตแลนติก
แฮคฟีชกินปลาตายหรือปลาใกล้ตายโดยการ กัดไชเข้าไปทางทวารหรือถุงเหงือก
แล้วกินส่วนของตัวปลาที่อ่อนนุ่มเหลือไว้แต่หนังและกระดูก นอกจากนี้แอคฟีชยังกิน
ปลาที่ตำแหอวนลอยอยู่ ทำความเสียหายให้แก่ชาวประมง แต่หลังจากมีการประมง
โดยใช้อวนลากขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง ปัญหาที่เกิดจากแฮคฟีชจึงลดลง
แฮคฟีชมีต่อมเหมือกทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่กระจายอยู่ที่ผิวหนัง และมีต่อม
เหมือนเรียงตัวเป็นแนวอยู่ทางด้านข้างตลอดความยาวของลำตัว มีคำกล่าวว่า แฮคฟีช
1 ตัว สามารถทำให้น้ำ 1 ถัง แปรสภาพเป็นก้อนวุ้นสีขาวภายใน 1 นาที
นอกจากนี้ แฮคฟีช ยังเป็นอาหารอร่อยอีกด้วย ที่เกาหลีจะนำปลาชนิดนี้มาหมักกับ
พริกเอาไปย่างหรือเอาผัดเรียกว่า Bokkeum Kkomjangeo


อันดับ 4 Basking Shark

ฉลามบาสกิ้น ความจริงยังมีฉลามอีกมากควรติดอันดับ เช่นฉลามยักษ์เมกาโลดอน
(Megalodon Sharkหรือฉลามเมกาเมาทธ์ (MegaMouth ) แต่ดูเหมือนว่าฉลาม
บาสกิ้นจะดูโดดเด่นที่สุดในอันดับของเรา โดยฉลามชนิดนี้เป็นยักษ์ใหญ่ผู้ใจดีแห่ง
ท้องทะเลใหญ่เป็นอันดับสองรองจากฉลามวาฬยาวประมาณ 12.27 เมตร หนักกว่า
19 ตัน มีรายงานการพบปลาขนาดใหญ่ที่นอร์เวย์วัดได้ยาว 12 เมตร มีปากขนาดใหญ่

แต่กินแพลงตอนเป็นอาหารโดยปากของมันจะเหมือนตัวกรองที่สามารถดูดน้ำเข้าปาก
ได้ 2000 ตันต่อชั่วโมง พบในมหาสมุทรที่น้ำเย็นทั่วโลก แต่เนื่องจากมันเชื่อมช้าทำให้
มันมักติดมากับอวดของชาวประมงอยู่บ่อยๆ อีกทั้งมันยังถูกล่าในเชิงพาณิชย์อีกด้วย
ทำให้มันเริ่มหายาก (ครีบ กระดูกอ่อนยาจีน เนื้อดิบญี่ปุ่น) ทำให้กลายเป็นสัตว์สงวน
ห้ามล่า


อันดับ 3 Blob Fish
ปลาบร็อบ ( Blobfish ) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ " Psychrolutes marcidus " เป็น
ปลาน้ำลึก ที่พบในน่านน้ำ ออสเตรเลีย ( Australia ) และ แทสมาเนีย ( Tasmania )
เนื่องจากการเข้าถึงแหล่งที่อยู่อาศัยทำได้ยาก จึงไม่ค่อยมีผู้พบเห็นมากนัก
ปลาบร็อบ ถูกพบในระดับความลึกที่มีแรงดันมากกว่าปกติ ถึง 12 เท่าทำให้ถุงลม
ขาดประสิทธิภาพ เพื่อที่ปลา สามารถลอยตัวได้ (ที่รู้จักกันในชื่อ "กระเพาะปลา"
มีหน้าที่ เก็บกักอากาศ หรือปล่อยอากาศออกเพื่อประโยชน์ในการลอยตัว หรือดำ


อันดับ 2 Lamprey

ปลาแลมเพรย์เป็นปลาไหลชนิดหนึ่ง ลำตัวด้านหลังมักจะเป็นสีดำ มีครีบหลังและ
ครีบหาง แต่ไม่มีครีบคู่ ไม่มีเกล็ด ปากจะอยู่ค่อนลงมาทางด้านท้อง มีลักษณะคล้าย
แว่นใช้สำหรับดูด ปากกลมซึ่งไม่จำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ขึ้นมาบังคับ
ขากรรไกรให้อ้าและหุบแบบปัจจุบัน พวกมันต้องการเพียงปากที่มีตะขอสำหรับเกาะ
เหยื่อเพื่อดูดเลือดสัตว์อื่นเป็นอาหาร และดำรงชีพเป็นปรสิตเมื่อดูดเลือดของเหยื่อจน
ตัวเหยื่อแห้งก็จะปล่อยแล้วหาเหยื่อใหม่ (แลมเพรย์มีหลายชนิด บางชนิดไม่จำเป็น
ต้องดำรงแบบปรสิต)


อันดับ 1 Goblin Shark

ฉลามก็อบบลิน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mitsukurina Owstoni (ตามชื่อเรือประมง
ที่ค้นพบ) เป็นปลาฉลามที่หายากและข้อมูลของมันมีน้อยมาก มันอาศัยในแถบ
มหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้ ไล่ไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติคและมหาสมุทรอินเดีย
ตอนใต้ พบครั้งแรกที่ประเทศ ญี่ปุ่น รูปร่างลักษณะของมันก็เหมือนฉลามธรรมดา
ผิวสีเทา มีหาง มีครีบ แต่จะมีครีบที่ค่อนข้างมากอยู่สักหน่อย และส่วนที่เห็นได้ชัดเลย
ว่าแตกต่างไปจากฉลามตัวอื่น คือ เป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากหน้าผากมัน หรือก็คือจมูก
ที่มีลักษณะแบนราบซึ่งจะ เป็นตัวช่วยให้ฉลามก็อบบลินหาเหยื่อได้ โดยจะมีอวัยวะที่
ทำงานคล้ายเซนเซอร์ไฟฟ้าอยู่ข้างในจมูกของมัน คอยส่งสัญญาณให้ฉลามก็อบบลิน
รู้ว่าเหยื่ออยู่ที่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ แต่บางทีมันก็ใช้การดมกลิ่นแทน ส่วนขนาด
ความยาวทั้งตัวตั้งแต่หัวถึงหางของฉลามก็อบบลินก็ยาวประมาณ 11-15 ฟุตหรือ
3.3 -4.5 เมตร

ปัจจุบันไม่มีรายงานการโจมตีของฉลามชนิดนี้เลยเนื่องจากมันหายากและอยู่ในน้ำลึก
ส่วนสาเหตุที่หายากและใกล้สูญพันธุ์เนื่องมาจากใต้ทะเลนั้นมืดมิด โอกาสที่จะได้เจอ
คู่ของมันนั้นยากมาก ทำให้ไม่มีโอกาสผสมพันธ์กัน

อันดับ 0 Fanfin Seadevil

ปลาปีศาจ ครีบพัด (Fanfin Seadevil) หรือ Caulophryne jordani เป็น ปลาน้ำลึก
ในตระกูล Anglerfish ปลาปลาปีศาจ ครีบพัด ( Fanfin Seadevil ) มีสี่งที่แปลก และ
โดดเด่นกว่า ปลาในตระกูล Anglerfish ทั่วไปคือ พวกมันไม่มีหงอนเรืองแสงบนหัว
ที่ใช้สำหรับล่อเหยื่อในที่มืด และทั่วทั้งร่างมีครีบยาว คล้ายพัด เช่นเดียวกับปลาใน
ตระกูล Anglerfish เพศผู้มีขนาดเล็กกว่ามากเพศเมีย เพศผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาด
เพียง 0.5 นิ้ว (1.27 เซ็นติเมตร) ส่วนเพศเมียจะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 10 นิ้ว
(25 เซ็นติเมตร ความยาวไม่รวมหนวด) การที่เพศผู้มีขนาดเล็ก และเพศเมีย มีขนาด
ใหญ่นั้นเกิดจากอุปนิสัยที่ เมื่อตัวผู้พบ ตัวเมีย ตัวผู้จะเกาะติดตัวเมียด้วยปาก ทำตัว
เหมือนกาฝาก โดยดูดเลือดของตัวเมียเป็นอาหาร และเมื่อนานวันตัวผู้จะศูนย์เสีย
การมองเห็น และประสาทสัมผัสต่างไป และหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเมีย

การปฏิวัติรัสเซีย




การปฏิวัติรัสเซีย
รัสเซียในตอนต้นของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กำลังเข้าสู่ยุคของการขยายตัวของอุตสาหกรรม ประชาชนเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรรมมาเป็นกรรมกร กรรมกรเหล่านี้เริ่มมีแนวคิดโน้มเอียงเข้าหาแนวทางสังคมนิยม ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ในปี ค.ศ.1898 ได้มีการก่อตั้งพรรคสังคมประชาธิปไตย (Russin Social Democatic Party) โดยมีนโยบายล้มล้างการปกครองในระบบเก่า (Ancient Regime) กรรมกรนัดหยุดงาน เกิดความวุ่นวายทั่วประเทศ รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ จึงก่อให้เกิดการปฏิวัติรัสเซียขึ้นในปี ค.ศ.1917
สาเหตุของการปฏิวัติ ก.พ.(มี.ค.) ค.ศ.1917
1.ความไม่พอใจในระบบการปกครองที่ไร้ประสิทธิภาพของราชวงศ์โรมานอฟ ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 - ผลสืบเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1904-1905 ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียตกต่ำ ประกอบกับรัสเซียแพ้สงคราม มีผลตามมาคือ พระชื่อ กาปอน ได้นำฝูงชนเข้ามาเรียกร้องในพระราชวังเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายลดชั่วโมงการทำงาน และแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎร แต่ทหารรักษาพระราชวังได้ยิงปืนเข้าใส่ฝูงชน เกิดการล้มตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ในวันนั้นรู้จักกันนาม Bloody Sunday
- ประชาชนเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้นปกครองประเทศ รัฐบาลยังต้องเผชิญปัญหาจากความไม่พอใจของกลุ่มชาวนาและกรรมกรที่ต้องแบกภาระภาษีของประเทศไว้ K. นิโคลัสที่ 2 ได้ประทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชน และจัดตั้งสภาดูมา (DUMA) ขึ้นมาเพื่อเป็นปากเสียงของประชาชน แต่พระองค์เป็นกษัตริย์กึ่งรัฐธรรมนูญ ทำให้ประชาชนไม่พอใจใน K.นิโคลัสที่ 2
2. เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างไม่ดี ทำให้เกิดแนวคิดสังคมนิยมและลัทธิคอมมูนิสต์
3. K.นิโคลัสที่ 2 เกิดความขัดแย้งกับสภาดูมา จึงยุบสภาและแต่งตั้งตนเองเข้าไปแทน
4. เกิดปัญหาภายในราชสำนัก K.ซาร์นิโคลัสที่ 2 ไร้ความสามารถในการปกครอง เมื่อทรงไปบัญชาการบในส่วนแนวหน้า อำนาจการปกครองส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับซารีนาอเล็กซาดรา ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลการครอบงำของรัชปูติน ทำให้เกิดการวิภาควิจารณ์จนราชสำนักเสียหายมาก
5. การที่รัสเซียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งที่ไม่มีความพร้อม รบไม่เป็น ขาดแคลนอาวุธ กล่าวคือทหารรัสเซียมีจำนวนมากแต่ก็เสียชีวิตมาก และผลจากสงครามทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียตกต่ำ
สาเหตุปัจจุบัน
ในวันที่ 23 ก.พ. ค.ศ.1917(ปฏิทินเก่ารัสเซีย) ประชาชนยืนรอเข้าแถวซื้ออาหารในกรุงเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งไปตรงกับกลุ่มสตรีที่ได้นัดหยุดงานเดินขบวนประท้วงบนท้องถนน ขบวนประท้วงได้เกิดการปะทะกับกลุ่มคนที่รอซื้ออาหาร ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ลุกลามกลายเป็นจลาจลระบาดไปทั่วกรุงเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก จนกลายเป็นการปฏิวัติในที่สุด เหตุการณ์ประทะกันโดยบังเอิญนั้นได้กลายเป็นวันสตรีสากล(International Wonen’s Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ตามปฏิทินตะวันตก
ผลของการปฏิวัติ
การล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งปกครองรัสเซียมานานกว่า 300 ปีต้องจบลง มีรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาปกครองแทนโดยเจ้าชายลวอฟภายใต้การนำของสภาดูมา ต่อมาภายหลังเจ้าชายลวอฟลาออกจากการเป็นหัวหน้ารัฐบาล เคอเรนสกี้เข้ามาเป็นหัวหน้ารัฐบาลชั่วคราวแทน แต่รัฐบาลภายของเคอเรนสกี้ก็ยังไม่ถอนรัสเซียออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษและฝรั่งเศส อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังขู่ว่าจะไม่ให้กู้เงิน
สาเหตุการปฏิวัติรัสเซีย ต.ค.(พ.ย.) ค.ศ.1917
1 ชนกลุ่มน้อยต้องการสิทธิในการการเมืองการปกครอง
2 รัสเซียยังคงเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนเบื่อหน่ายสงคราม
3. เกิดความขัดแย้งของรัฐบาลชั่วคราวกับทหาร ทำให้รัฐบาลชั่วคราวอ่อนแอ เป็นเหตุให้พวกบอลเชวิคทำการทำการปฏิวัติในเดือน ต.ค.(พ.ย.) ค.ศ.1917 โดยมีเลนินที่เดินทางมาจากฟินแลนด์เข้ามาเพื่อเป็นผู้นำการปฏิวัติ โดยมอบหน้าทางการทหารให้กับทรอสกี้ ซึ่งผลก็คือฝ่ายบอลเชวิคเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
การปฏิวัติ
ในระหว่างคืนวันที่ 6 พ.ย. ค.ศ.1917 (ตามปฏิทินแบบสากล) พรรคบอลเชวิคได้ทำการยึดอำนาจในกรุงเปรโตกราดโดยการยึดสถานที่สำคัญของประเทศ ให้เรือรบระดมยิงใส่พระราชวังฤดูหนาว จนรัฐบาลเคเรนสกี้ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ต่อมาตอนสายของวันที่ 7 พ.ย. ค.ศ.1917 เลนินจึงจัดการประชุมสภาโซเวียของประชาชนชาวรัสเซียทั้งมวลว่ารัฐบาลชั่วคราวได้ล้มสลายแล้วและเปลี่ยนชื่อเป็นสภาผู้ตรวจการของประชาชนให้มีอำนาจในการปริหารประเทศ นิโคลาย เลนินดำรงตำแหน่งประทานสภาผู้ตรวจการของประชาชน
ผลของการปฏิวัติ
1. พรรคบอลเชวิคเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมูนิสต์ รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์
2. เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลคอมมูนิสต์กับพวกรัสเซียขาว (White Russians) ประกอบด้วยพวกนิยมกษัตริย์ พวกนิยมเสรี ที่ต้องการให้รัสเซียมีการปกครองในระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พวกรัสเซียขาวไม่สามารถรวมตัวกันได้ จึงทำให้รัฐบาลคอมมูนิสต์ยังคงอำนาจไว้
3. กรรมกรได้รับอนุญาตให้เข้าควบคุมโรงงาน
4. ทรัพย์สินของวัดและของพวกต่อต้านรัฐบาลถูกยึดเข้ารัฐบาล
5. ทำสนธิสัญญาสงบศึกกับเยรมนี เบรสท์-ลิทอป (Ttreaty Of Brest-Litovsk)
- ฟินแลนด์ แอสโทเนีย ลัทเวีย ลิธัวเนีย โปแลนด์และยูเครนเป็นเอกราช
- ฮาร์ดาฮาน บาทัม คาร์ส ดินแดน 3 แห่งบริเวณคอเคซัสต้องยกให้ตุรกี
- เมื่อเสียอาณานิคมมาก รัสเซียจึงเสียประชาการ 1 ใน 4 เสียดินแดนในยุโรป 1ใน 4 เสียเหมืองแร่เหล็กและถ่ายหินที่พัฒนาแล้ว 3 ใน 4
- พรรคคอมมูนิสต์มีความเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการต่อสู่ระหว่างนายทุนด้วยกันเอง แต่ก็ได้ส่งผลให้ชาวรัสเซียทนทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บล้มตายเป็นเวลานานถึง 4 ปี ชาวรัสเซียต้องการสันติภาพ
- ต่อมา 25 ปี รัสเซียได้ดินแดนที่เสียไปคืนมาทั้งหมด ยกเว้นฟินแลนด์
6. ระบบคอมมิวนิสต์ได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลก จนทำให้เกิดลัทธิต่อต้านคือ ฟาสซิสต์ และนาซี
วาทิน ศานติ์ สันติ เรียบเรียง



วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

Moulin Rouge



Moulin Rouge เป็น คาบาเร่ต์ ที่สร้างขึ้นในปี 1889 โดย โจเซฟ Oller ที่ยังเป็นเจ้าของ Paris Olympia . Close to Montmartre in the Paris district of Pigalle on Boulevard de Clichy in the 18th arrondissement , it is marked by the red windmill on its roof. ใกล้กับ Montmartre ใน ปารีส ย่าน Pigalle เกี่ยวกับ Boulevard de Clichy ใน เขต 18 ก็คือการทำเครื่องหมายด้วยสีแดงของ กังหันลม บนหลังคาของมัน The closest métro station is Blanche . สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ Blanche .
The Moulin Rouge is best known as the spiritual birthplace of the modern form of the can-can dance. Moulin Rouge เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดเป็นบ้านเกิดจิตวิญญาณของรูปแบบที่ทันสมัยของ สามารถสามารถ เต้นรำ Originally introduced as a seductive dance by the courtesans who operated from the site, the can-can dance revue evolved into a form of entertainment of its own and led to the introduction of cabarets across Europe. แนะนำเดิมเป็นเสน่ห์การเต้นโดย courtesans ที่ดำเนินการจากเว็บไซต์ที่สามารถที่สามารถเต้นรำ บทเพลงเสียดสี การพัฒนาในรูปแบบของความบันเทิงของตัวเองและนำไปสู่การเปิดตัวของคาบาเร่ทั่วยุโรป Today the Moulin Rouge is a tourist destination, offering musical dance entertainment for visitors from around the world. วันนี้ Moulin Rouge เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่นำเสนอความบันเทิงทางดนตรีเต้นรำสำหรับผู้เข้าชมจากทั่วโลก Much of the romance of turn-of-the-century France is still present in the club's decor. โรแมนติกมากจากที่เปิด - of - the - ศตวรรษที่ฝรั่งเศสยังคงอยู่ในการตกแต่งของสโมสร

ประวัติความเป็นมา
The Moulin Rouge in 1900 Moulin Rouge ในปี 1900
The Belle Époque , a period of peace and optimism marked by industrial progress and a particularly rich cultural exuberance. Belle Epoque , ระยะเวลาของการมองโลกในแง่สันติภาพและการทำเครื่องหมายโดยความคืบหน้าของอุตสาหกรรมและความอุดมสมบูรณ์ทางวัฒนธรรมมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง The Exposition Universelles of 1889 and 1900 are symbols of this period. งานมหกรรม Universelles ของ 1889 และ 1900 เป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลานี้ The Eiffel Tower was also constructed in 1889, epitomising the spirit of progress along with the culturally transgressive Moulin Rouge.หอไอเฟลถูกสร้างขึ้นยังอยู่ใน 1889, epitomising จิตวิญญาณของความคืบหน้าไปพร้อมกับวัฒนธรรม transgressive Moulin RougeJaponism , an artistic movement inspired by the Orient with Henri de Toulouse-Lautrec as its most brilliant disciple, is at its height. Japonism เป็นแรงบันดาลใจจากศิลปะการเคลื่อนไหว by Orient กับ Henri de Toulouse - Lautrec เป็นสาวกยอดเยี่ยมที่สุดของมันคือที่ความสูง
Montmartre , which, at the heart of an increasingly vast and impersonal Paris, manages to retain a bucolic village atmosphere. Montmartre ซึ่งหัวใจสำคัญของการเพิ่มขึ้นมากมายและไม่มีตัวตนที่ปารีสบริหารจัดการที่จะรักษาบรรยากาศของหมู่บ้านชาวเกี่ยวกับคนบ้านนอก Festivities and artists mixing with pleasure and beauty as their values. พิธีเฉลิมฉลองและศิลปินที่ผสมกับความสุขและความงามเป็นค่าของพวกเขา
6 October 1889: The Moulin Rouge opens, in the Jardin de Paris, at the foot of the Montmartre hill. 6 ตุลาคม 1889 : Moulin Rouge เปิดใน Jardin de Paris, ที่เท้าของเขา Montmartre Its creator Joseph Oller and his Manager Charles Zidler are formidable businessmen who understand perfectly the public's tastes. ผู้สร้างของ โจเซฟ Oller และผู้จัดการของเขาชาร์ลส์ Zidler เป็นนักธุรกิจที่น่ากลัวที่เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แบบกับรสนิยมของประชาชน The aim is to allow the very rich to come and slum it in a fashionable district, Montmartre . จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้อุดมสมบูรณ์มากที่จะมาและสลัมในย่านที่ทันสมัย, Montmartre . The extravagant setting – the garden is adorned with a gigantic elephant – allows people from all walks of life to mix. การตั้งค่าที่ฟุ่มเฟือย -- สวนประดับด้วยช้างยักษ์ -- ช่วยให้ผู้คนจากทุกเดินชีวิตที่จะผสม Workers, residents of the Place Blanche, artists, the middle classes, businessmen, elegant women and foreigners passing through Paris rub shoulders. แรงงานที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ Blanche, ศิลปินที่ชนชั้นกลางนักธุรกิจหญิงที่สง่างามและชาวต่างชาติผ่านไหล่ปารีสถู Nicknamed “The First Palace of Women" by Oller and Zidler, the cabaret quickly becomes a great success. ชื่อเล่นว่า"The Palace แรกของผู้หญิง"โดย Oller และ Zidler, คาบาเร่ต์ได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นความสำเร็จที่ดี
The ingredients for its success:ส่วนผสมในการประสบความสำเร็จ A revolutionary architecture for the auditorium that allowed rapid changes of décor and where everyone could mix; สถาปัตยกรรมที่ปฏิวัติสำหรับหอประชุมที่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของการตกแต่งและสถานที่ที่ทุกคนสามารถผสม;
Festive champagne evenings where people danced and were entertained thanks to amusing acts that changed regularly, such as the Pétomane; ตอนเย็นแชมเปญงานรื่นเริงที่มีคนเต้นและมีความบันเทิงด้วยการกระทำที่น่าขบขันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอเช่น Pétomane ที่
A new dance inspired by the quadrille which becomes more and more popular: The Can-can , danced to a furious rhythm by dancers in titillating costumes; การเต้นรำใหม่แรงบันดาลใจจากดนตรีประกอบการเต้นรำซึ่งจะกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น : สามารถสามารถ , เต้นเป็นจังหวะโกรธโดยนักเต้นระบำในชุด titillating;
Famous dancers whom history still remembers: la Goulue , Jane Avril , la Môme Fromage, Grille d'Egout, Nini Pattes en l'Air, Yvette Guilbert ; นักเต้นที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ที่ยังคงจำ : La Goulue , Jane Avril , La Môme fromage, กระจัง d'Egout, Nini Pattes en l' Air, Yvette Guilbert;
A place loved by artists, of whom the most iconic was Toulouse-Lautrec. สถานที่ที่เป็นที่รักโดยศิลปินของผู้สัญลักษณ์มากที่สุดคือตูลูส - Lautrec His posters and paintings secured rapid and international fame for the Moulin Rouge. โปสเตอร์และภาพวาดของเขาที่มีความปลอดภัยมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วและระหว่างประเทศเพื่อ Moulin Rouge

Toulouse-Lautrec and Mr Tremolada, Zidler's assistant, Moulin-Rouge manager. ตูลูส - Lautrec และนาย Tremolada, ผู้ช่วย Zidler ของ Moulin Rouge - ผู้จัดการ Paris, 1892. ปารีส, 1892
The Moulin Rouge's greatest moments Moulin Rouge ของช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

รู้จักที่มาของ fast food เเสนอร่อยกันหรือยัง?






ยังไม่มีการบันทึกที่ชัดเจนว่าประเทศหรือชนชาติใดเป็นต้นตำรับของแฮมเบอร์เกอร์ แต่คำที่ใช้เรียกขนมปัง 2 ชิ้นที่มีเนื้ออยู่ตรงกลางว่าแฮมเบอร์เกอร์นั้น เริ่มต้นขึ้นที่เมืองฮัมบูร์ก(Hamburg) ประเทศเยอรมนี ขณะที่เมนูกินด่วนแบบนี้ยังไปฮิตติดอันดับที่สหรัฐ แทน ส่วนคนในฮัมบูรก์เองนั้น กลับนิยมทานแซนด์วิชมากกว่า อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ที่แนะนำให้ชาวฮัมบูร์กรู้จักกับการปรุงอาหารชนิดนี้ โดยมีผู้กล่าวถึงที่มาเอาไว้ 2 ทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีแรกมีการกล่าวเอาไว้ว่า ในช่วงยุคกลาง เมืองฮัมบูร์กเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญระหว่างโลกอาหรับและยุโรป ทำให้พ่อค้าอาหรับเข้ามาติดต่อกับชาวบ้าน และได้แนะนำอาหารที่ชื่อกะบาบ ซึ่งเป็นเนื้อลูกแกะบดผสมเครื่องเทศ ที่มักจะกินกันดิบๆ ให้กับชาวบ้าน หลังจากนั้นชาวเมืองฮัมบูร์กได้ดัดแปลงเปลี่ยนจากเนื้อลูกแกะไปเป็นเนื้อหมูหรือว่าเนื้อวัวแทน พร้อมกับปรุงรสขึ้นใหม่ จนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และสุดท้ายก็พัฒนากลายมาเป็น “แฮมเบอร์เกอร์” ในเวลาต่อมา ส่วนอีกทฤษฎีนั้นกล่าวไว้ว่า ในช่วงที่กองทัพมองโกลของเจงกีสข่านยกทัพบุกรัสเซียนั้น เหล่าทหารจะกินเนื้อลูกแกะดิบที่ปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งเหล่าทหารมีวิธีการทำให้เนื้อนิ่มด้วยการวางไว้ใต้อานม้า จากนั้นชาวรัสเซียก็รับเอาอาหารชนิดนี้ไป และเรียกว่า “ทาร์ทาร์สเต็ก” เนื่องจากชาวรัสเซียเรียกชาวมองโกลว่า “ทาร์ทาร์” และในช่วงศตวรรษที่ 17 รัสเซียเริ่มที่จะค้าขายติดต่อกับเมืองฮัมบูร์กและก็ได้นำอาหารชนิดนี้ไปเผยแพร่ด้วย โดยชาวเยอรมันได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อวัวไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศในท้องถิ่นจนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และอาจจะนำไปรมควันหรือว่าหมักเกลือ เพื่อที่จะสามารถเก็บได้นานระหว่างที่กำลังเดินทาง จากนั้น ทหารเรือชาวเยอรมันและผู้อพยพก็ได้นำเมนูนี้ติดตัวไปยังสหรัฐฯด้วยในช่วง 1800s และในช่วงทศวรรษที่ 1820 หรือ 1830 นี่เองที่มีการนำชื่อ “แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก” ไปปรากฏอยู่บนรายการอาหารของร้านอาหารที่ชื่อเดลโมนิโก ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปอย่างรวดเร็ว ช่วงต้นยุค 1900s ร้านอาหารในสหรัฐฯมากมายหลายร้านได้เริ่มนำแฮมเบอร์เกอร์สเต็กมาใส่ระหว่างขนมปัง 2 ชิ้น หรือว่าใส่ข้างในขนมปัง และเมื่อแฮมเบอร์เกอร์สเต็กถูกนำมาใส่ไว้ข้างในขนมปัง จึงถูกเรียกว่า “แฮมเบอร์เกอร์แซนด์วิช” และผู้ที่คิดค้นขนมปังก้อนสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาก็คือพ่อครัวที่ชื่อ เจ วอลเตอร์ แอนเดอร์สัน ในปี 1916 ก่อนที่เขาค้นนี้จะไปเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ไวท์คาสเซิลในปี 1921 สำหรับชีสแฮมเบอร์เกอร์ หรือที่เรียกสั้นๆว่าชีสเบอร์เกอร์นั้น ว่ากันว่าผู้ที่เริ่มคิดค้นลงมือทำเป็นคนแรกก็คือเชฟที่ชื่อ ไลโอเนล สไตน์เบอร์เกอร์ จากร้านอาหารที่ชื่อ ไรท์สปอต ในเมืองพาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของฟาสต์ฟูดส์อย่างแฮมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เรย์ ครอก ซึ่งเริ่มเปิดตัวร้านแมคโดนัลด์สาขาแรกช่วงกลางทศวรรษที่ 1950

มารู้จักชาวเติร์กกัน




ชาวเติร์กเป็นชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงอนาโตเลีย อพยพมาจากทางทิศตะวันออกของตุรกี เดิมชาวเติร์กเป้นเพื่อนสนิทกับชาติพันธุ์มองโกล มองโกลเป้นชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงชอบการขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตชาวเติร์กอาศัยอยู่บนหลังม้า การขี่ม้าของชาวมองโกลนั้นเป้นวัมนธรรมที่เด็กผู้ชายมองโกลทุกคนต้องเรียนรู้ อัตลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของชาวมองโกลคือการเร่ร่อนไปตามที่ราบต่างๆบริเวณมองโกลเลีย และมักจะหยุดพักเมื่อตะวันตกดิน เรียกว่าค่ำใหนนอนนั่น ชีวิตชาวมองโกลคือการเร่ร่อน ชาวมองดกลจึงจะพกกระโจมเคลื่อนที่อยู่เสมอ และเมื่อถึงเวลาตะวันตกดินชาวมองโกลก็จะกางกระโจมของตน เรียกได้ว่าอีกครึ่งของชีวิตชางมองดกลนั้นคือการใช้ชีวิตในกระโจม เด็กๆชาวมองดกลทุกคนจะเกิดในกระโจม

ชาวเติร์กสืบ สาเหตุที่อพยพมาจากที่ราบสูงมองโกลนั้นเนื่องจากสภาพทางธรรมชาติ ประชากรที่เพิ่มขึ้นต้องมีการหาปัจจัยยังชีพเพิ่มมากขึ้น จนอพยพย้ายถิ่นบานมาทางที่ราบทะเลทรายที่เราเรียกว่าอาหรับนั่นเอง ต่อมาได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ที่ราบสูงอนาดตเลียและตั้งราชวงศ์ปกครองเองขึ้นมา ด้วยต้นทุนเดิมของชาวเติร์กที่ชอบอยู่บนหลังม้าและเร่ร่อนเป้นชีวิตจิตใจเหมือนกับชาวมองโกลทำให้ชาวเติร์กมีทักษะการรบด้วยการขี่ม้าเหนือกว่าชาติอื่นๆ ชาวเติร์กนั้นมีอยู่เผ่าหนึ่งที่นับถือศาสนายูดาย

เมื่อชาวเติร์กมีอำนาจเหนือราบสูงอนาโตเลียแทนที่เซลจุกเติร์ดแล้ว การครองอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของชาวเติร์กก็ถือกำเนิดขึ้น ชาวเติร์กรับอิสลามเป้นศาสนาและที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจมีอิทธิพลมาจากชาวอาหรับที่รับอิสลามโดยการถือกำเนิดของศาสดาแห่งมวลมนุษยชาติ มูฮัมมัด ด้วยการที่ชอบเร่ร่อนจึงรับอิทธิพลศาสนาอิสลามเข้ามา เมื่อรับศาสนาอิสลาม เติร์กกลายเป้นอาณาชาวมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติสาสตร์ด้วยอาณาบริเวณที่กว้างให๋ยไพศาลครบอคลุมสามทวีป เอเชีย แอฟริกา และยุโรป

ปัจจุบันชาวเติร์ก อาศัยอยู่ในหกรัฐเติร์ก เราเรียกว่า เติร์กิซรีพับลิก รัฐที่มีอำนาจและโดดเด่นของชาวเติร์กคือ ตุรกีหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมาน โดนอาตาร์เติร์ก มุสตาฟากามาล ที่รับแนวคิดชาตินิยมจากโลกตะวันตก ได้เรียกร้องให้ชาวเติร์กกลับมาสู่การปกครองของชาวเติร์กที่เคยยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการสถาปนารัฐตุรกีขึ้นและได้ปล่อยให้อาหรับเป็นรัฐอิสระภายใต้การให้ความสนับสนุนจากชาติตะวันตกที่เข้ามาในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามสนธิสัญญา ไซเคทพิคอท


การสถาปนารัฐตุรกีขึ้นมานั้นเรียกได้ว่าเป้นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชาวเติร์กมุสลิมและอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างออตดตมานเนื่องจาก แนวคิดของ มุสตาฟากามาล เป้นแนวคิดแยกรัฐออกจากศาสนา ทำให้มีการฟื้นฟูการใช้ภาษาเตริ์กกิซอีกครั้งหลังจากอยู่ภายใต้อิทธิพลของภาษาอาหรับหลังจากการับอิสลามและการเป้นอาณาจักรออตโมาน เคมาลเรียกร้องให้กลับมาใช้ภาษาเติร์กิซและใช้อักขระโรมาไนซ์ เช่นเดิม

ชาวเตริ์กในยุคปัจจุบันที่อยู่ในรัฐเติร์กทั้ง6 มีเพียงเติร์กทางเอเชียกลางที่มีความคล้ายคลึงกับเติร์กโบราณมากที่สุด คล้ายกับชาวมองโกล ส่วนเติร์กที่อยู่ในตุรกีนั้นมีการแต่งงานข้ามสายพันธุ์กับชาวกรีกและยุโรป เนื่องจากอิสตันบูลและตุรกีเป้นประตูสู่ยุดรกใกล้กับยุโรปมาก ประกอบในอดีตอาณาจักรออตโตมานมีอาณาเขตไกลถึงยุโรปทำให้มีการแต่งงานข้ามสายพันธุ์เพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม และการรับศาสนาอิสลามของชาวยุโรปในสมัยนั้นมีอิทธิพลต่อการแต่งงานข้ามสายพันธุ์เช่นกันรวมทั้งนางสนมของบรรดาผู้นำออตโตมานที่นำสาวสตรีจากยุกโรปมาเป้นนางสนมทำให้เติร์กในตุรกีไม่ใช่เติร์กที่บริสุทธิ์ แต่เป้นเติร์กที่มีหน้าคล้ายและใกล้เคียงชาวยุโรปมาก

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

สามเหลี่ยมเบอรืมิวด้า





เบอร์มิวด้า อยู่ในบริเวณ ของ มหาสมุทร แอ๊ตแลติค พื้นที่ เริ่มจากตอนเหรือของเบอร์มิวด้า ไปถึงตอนใต้ของ รัฐฟลอริด้า และจากฟลอริด้า ถึงบาฮามัส และย้อยไปเบอร์มิวด้า อีครั้ง พื้น ที่ตรงนี้เอง ที่เรียก ว่าสามเหลื่ยม เบอร์มิวด้า มีเรือเดินสมุทร จำนวน 156ลำ(1898-1990) และ เครือง บินอีก นับไม่ถ้วน หายไป อย่างลึกลับ โดยไม่มี ร่องรอย ชีวิตมนุษจำนวน นับพัน หรือ แม้แต่ เศษเคื่องบิน หรือเรือเดิน สมุทร เครื่องบินที่ หายไปอย่างไร้ ร่องรอย เหนือพื้นที่ ลึกลับแห่งนี้ มักจะ หายไป จาก จอเรด้า ไปเลยโดนไม่มี สัญญาน บ่งบอก ถึง ความตายที่ รอ อยู่หน้าทั้งสภาพของ อากาศ และทัศนะวิสัย สงบ ไร้วี่แววของ พายุ แต่ บาง ครั้ง ก็การติดต่อ มายังศูยการบิน ว่า ไม่สามารถควบคุม ระบบต่างๆ ของเครื่องได้ เข็มทิศ มุนปัด ไม่สามาถร บอก ทิศทางได้ ท้องฟ้า ที่ไร้ วี่แวว ของ พายุ กับ กลาย เป็นครึ้มฟ้า ครึ้มฝน พายุขานใหญ่ เกิด ขึ้น ดูด น้ำ จาก มาหาสมุทขึ้นมา นับ สูงนับ ร้อยฟุต โดนไม่รู้สาเหตุ เหตุการที่เกิด ขึ้นกับ เรือเดินสมุทร เมื่อ เล่นเรือไป ยัง ศูนกลางของ สามเหลี่ยม เบอร์มิวด้าก็หายไปอย่าง ลึก ลับ โดยไร้วี่แวว คนที่รอดชีวิต เรื่องเล่า ของเรือ มารีนซันเฟอร์ควีน ที่หายไป เมื่อ 2กุมภาพันธ์ ปี 1863 ก่อนที่จะมีการ บันทึกจำนวนเรือที่หายไป ในสามเหลื่ยมเบอร์มิวด้า 25ปี เล่ากันว่าเรือเครื่องจักไอน้ำลำนี้ได้ เจอ เข้า กับวัตถุ ลืก ลับ หรือ สิ่งมีชีวิต อะไรสักอย่าง ฉุด เรือลำนี้ใว้จนไม่ สามารถ แล่นเรือต่อไปได้ รอถึง 28ชั่วโมงจนข้าถึง วันที่ 1กุมภาพันธ์ ปี1863 จึงรอดพ้น สิ่งลึกลับนี้มาได้ นี้คือสิ่งแรกที่ เรือโชคร้ายลำนี้เจอ กับตัน สั่งให้ หันหัวเรือทำมุม 43 องศา กับเส่นรุ้ง มุ่งหน้าเข้าสู่ รัฐ ฟอริด้า ก่อน ถึง จุดศูยกลาง ได้ เกิดพายุทำให้ เกิด พายุขนาดใหญ่( ไม่มีการ บันทึก ความรุนแรงแต่ ลองประเมิน พายุที่ สามาถร จมเรือ ขนาดแรงขับน้ำ 65000ตัน น่าจะอยู่ใน ระดับ 4) แล้วเรือ ลำนี้ก็ หายไปอย่างลึกลับ 13 สิงหาคม ปี 1942 เรือสัญชาติ ญี่ปุ่น ชื่อ ไรฟุกุมารุ ได้ วิทิยุ ขอคาวม ช่วย เหลือ ขนะอยู่ ระหว่าง คิวบา และบาฮามัส ว่า ได้ ติดอยู่ กลาง พายุ แล้ว หายไป อย่างไร้ ร่อง ลอย จนกระ ทั่ง ปี 1955 เรือจับ ปลา ขนาด เล็ก ลำหนึ่ง ได้เจอเข้ากับเรือ ไรฟุกุมารุ เกย ตื่น อยู่ ในแนว ปะการัง ในหมู่เกาะเล็กๆ เจอกับ บันทึกการเดินเรือ ของ กับตัน แต่ ยังคง เป็น ความลับ อยู่ถึงปัจจุบรร ว่าใน บันทึก เล่มเล็กๆ เล่มนั้น มีความลับอะไรซ่อนอยู่ มัน คือ หลักถานอย่างเดียว ที่เหลือรอดจาก เหตุการ ที่ผู้คนนับพัน ไม่สามรถ ฝื้นขึ้นมา บอกเล้าให้คนรุ่น หลังอย่างเราได้ฟังได้

ทางนักวิชาการก้อมีการเสนอทฤษฎีต่างๆนานา บ้างก้อว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก้อว่าเกิดจาอำนาจของสิ่งบินลึกลับ หรือที่เราเรียกกันว่า UFO จนคล่องปาก เป็นเวลานานมาก ที่เจ้าดินแดนปริศนาแห่งนี้ ลือกันไปจนทั่วโลก ในฐานะของดินแดนมรณะที่ดูดกลืนชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่สัญจรผ่านไปในบริเวณนั้น



ตามสภาพภูมิศาสตร์ทางที่ตั้ง บริเวณนี้เป็นบริเวณที่แปรปรวนมาก เพราะมีทั้งกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นไหลมาผสมปนเปกัน จนบางทีก้อเกิดสภาพอากาศแบบแปรปรวนกระทันหัน นี่แหละคือตัวอันตรายที่จะไม่สามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้เลย นอกจากนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ายังจัดเป็นเขตอันตรายที่มักปรากฎคลื่นขนาดยักษ์ที่เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง อะไรที่ขวางหน้า กวาดไปเรียบน่ะ ไม่มีเหลือซาก หุหุ

คลื่นบางลูกก้อทำให้เกิดสะดือทะเล คือผืนน้ำจะเปิดเป็นช่อง หมุนเป็นเกลียวดูดกลืนทุกอย่างเข้าสู่วังวน เรือที่หมุนเข้าไปก้อจะพลิกคว่ำและอับปางได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่สาเหตุที่กล่าวมา ก้อยังไม่ดึงดูดใจนักลึกลับศาสตร์แม้แต่น้อย อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจ ที่มินคิดว่ามีคนสนใจสนับสนุนน้อยก้อคือ มีสิ่งมีชีวิตบางประเภทที่อยู่นอกสารบบของวงการชีววิทยาปัจจุบันค่ะ เพราะว่ามีข่าวลือมากมายจริงๆ กับการค้นพบเจ้าปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต จนไปถึงงูยักษ์หรือว่าเจ้าพวกมังกรทะเล ซึ่งแต่ละปีมีการรายงานสัตว์ตัวยักษ์จำนวนมากทีเดียวในบริเวณนี้ แต่ก้ออีกนั่นแหละที่เป็นไปไม่ค่อยได้คือเจ้าสัตว์เหล่านี้ จะมีปัญญาสยบเครื่องบินที่บินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร






วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ปลิงทะเล



ปลิงทะเล "sea cucumber" เป็นสัตว์น้ำเค็มชนิดหนึ่งซึ่งผู้นิยมบริโภคโดยเฉพาะชาวจีน ปลิงทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ใน Phylum Echinodermata, Class Holothuroidea อาศัยอยู่ตามก้นทะเล โดยฝังตัวขุดรูอยู่ในโคลน ทราย หรืออาศัยอยู่ตามกอสาหร่ายทะเล ปะการัง มีขนาดรูปร่างแตกต่างกัน โดยทั่ว ๆ ไปมีรูปร่างทรงกระบอก ยาวคล้ายถุง มีปากและช่องขับถ่ายอยู่ที่ปลายส่วนหัวและหาง รอบ ๆ ปากมีหนวด (tentacles) หนวดมีจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของปลิงทะเล เช่น สกุล Cucumaria thyone มีหนวด 10 เส้น สกุล Holothuria มีหนวด 20-30 เส้น เป็นต้น ผิวตัวของปลิงทะเลอาจจะนุ่ม มีลักษณะบางโปร่งแสง หรือหนาทึบแสง บางชนิดผิวเรียบ แต่ปกติมักจะมีปุ่มยื่นออกมาคล้าย หูด ที่บริเวณผิวตัวจะมีสปิคุล (spicules) ซึ่งเป็นแผ่นโครงร่าง (skeletal plates) ลักษณะของสปิคุลใช้ในการจำแนกชนิดของปลิงทะเล ซึ่งแต่ละชนิดจะมีสปิคุลแตกต่างกันออกไป บางชนิดสปิคุลจะมีลักษณะคล้ายรูปสมอเรือ เช่น สกุล Holothuria

ปลิงทะเลกินอาหารประเภทแพลงก์ตอน และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น โปรโตซัว สาหร่ายทะเล และไดอะตอม ใช้หนวดพุ่มไม้จับอาหารโดยอาศัยเมือกหนียว ซึ่งฉาบอยู่ตามผิวหนวด คอยดักอาหารที่ผ่านมากับน้ำ และอาหารประเภทอินทรีสารที่ตกอยู่ใต้ท้องน้ำ โดยใช้หนวดขุดโคลนตมหน้าดินเข้าปากผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร และกากที่เหลือจะถ่ายออกทางช่องก้นซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ก้นของปลิงทะเลเป็นช่องเล็ก ๆ ทำหน้าที่ในการขับถ่ายของเสีย หายใจ เป็นทางออกของเชื้ออสุจิ มีอวัยวะสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพียงอันเดียว การผสมพันธุ์เป็นแบบผสมภายนอกและมีลักษณะแยกเพศ
ปลิงมีสารพิษ โฮโลทูลิน ซึ่งปล่อยออกทางผิวหนัง ใช้ในการป้องกันอันตรายจากปลาและปู ถ้าหากนำปลิงทะเลไปใส่ในตู้เลี้ยงปลามันจะปล่อยสารพิษดังกล่าวออกมามากจนทำให้ปลาตายได้ ถิ่นอาศัย พบตามพื้นทะเลที่เป็นทรายปนโคลนใน อ่าวไทยและทะเลอันดามัน อาหาร กินอินทรีย์วัตถุตามพื้นดินโคลนและทราย ขนาด มีความยาวประมาณ 30–40 ซม.
การแพร่กระจายของปลิงทะเล อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลในระดับความลึก 20-30 เมตร สามารพบได้ในบริเวณหาดทรายปนเลนหรือทรายล้วน ๆ หรือตามบริเวณที่มีกระแสน้ำ ตามเกาะบริเวณปะการัง และสภาพน้ำทั่วไป อุณหภูมิน้ำอยู่ระหว่าง 24-28 องศาเซลเซียส ความเค็มสามารถอยู่ได้ในระดับ 27-35 ppt และสามารถอยู่ได้ในระดับความเค็มต่ำกว่า 10 ppt ถึง 17 ชั่วโมง ซึ่งถ้าอยู่ในระดับความเค็มสูง จะมีความแข็งแรงกว่าความเค็มต่ำ ปลิงทะเลสามารถงอกส่วนที่ขาดได้ภายในระยะเวลา 2 เดือน (chen jia xin, 1990) และปลิงทะเลจะเริ่มลงสู่พื้นในระยะ Perdactula เมื่อมีอายุประมาณ 12 วัน ปลิงทะเลปกติไม่ชอบแสงสว่าง และออกหาอาหารในเวลากลางคืน

คุณค่าทางอาหารของปลิงทะเล มีโปรตีนประมาณ 10-12% ความชื้น 70-80% ไขมัน 0.002-0.04% และเนื้อปลิงทะเลยังมีสารมิวโคโปรตีนที่มี Chondroitin sulfurie acid คาดว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ โดยการช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นพบว่า ในเนื้อปลิงทะเล Stichopus japonicus มีมิวโคโปรตีน (mucoprotein) ปริมาณสูงซึ่งมิวโคโปรตีนนั้น มีคอนดรอยติน ซัลฟุริค แอซิด (Chondroitin - sulfuric acid) อยู่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ และจากการศึกษาในผู้สูงอายุยังพบว่า การที่กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้นั้น เนื่องจากปริมาณของคอนดรอยติน ซัลฟุริค แอซิด ลดลง ดังนั้นจึงอาจใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลอธิบายการที่ชาวจีนนิยมรับประทานปลิงทะเลกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ คอนดรอยติน ซัลฟุริค แอซิด ตามธรรมชาติมักอยู่ในสภาพมิวโคโปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น กระดูกอ่อน เอ็น และของเหลวที่หล่อลื่นตามข้อต่าง ๆ ดังนั้น การรับประทานปลิงทะเลก็นับว่าให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้เช่นกัน

17 เรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับผู้หญิง

1. ช๊อกโกแลตนี่แหละ ที่มาของใบหน้ามีสิวจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาหรืองานวิจัยใดๆที่สนับสนุนว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นจริง ในต่างประเทศได้มีการทดลองทฤษฎีนี้โดยแบ่งคนเป็นสิวที่มีความรุนแรงเท่าๆกันออกเป็นสองกลุ่ม ให้กลุ่มแรกงดกินช๊อกโกแลตเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ส่วนกลุ่มหลังให้กินช๊อกโกแลต 3 แท่งต่อสัปดาห์ติดต่อกันเป็นเวลานาน 4 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการกินช๊อกโกแลตเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นจริงเหมือนอย่างที่หลายคนเชื่อกัน...แต่ทำให้อ้วนได้แน่นอนเชียวค่ะ

2. ค่า SPF ในครีมกันแดดยิ่งสูงยิ่งกันแดดได้ดีSPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บอกว่าผิวของคุณสามารถทนต่อแสงแดดได้นานเท่าไหร่โดยไม่เกิดผิวไหม้ เช่น ถ้าคุณไปตากแดดแล้วเกิดผิวไหม้ภายใน 15 นาที หลังใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 แล้วจะช่วยทำให้ผิวของคุณทนต่อการไหม้ของแดดได้นานขึ้นถึง 15x15=225 นาที ส่วนค่า SPF ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ผิวป้องกันแสงแดดได้มากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น SPF 30 กันแดดได้ 97% SPF 60 กันได้ 98-98.5% จะเห็นว่า SPF จาก 30 เป็น 60 ช่วยกันแดดได้เพิ่มขึ้นเพียง 1-1.5% เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆจึงไม่ได้ดีกว่าเสมอไป

3. วิตามินและอาหารเสริมเพิ่มความสวยการรับประทานวิตามินและอาหารเสริมกลายเป็นกระแสนิยมไปแล้วในขณะนี้ เนื่องจากมีโฆษณาชวนเชื่อมากมาย อ้างว่าสามารถทำให้ผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกได้ หากคุณอยู่ดีกินดีไม่ได้อดมื้อกินมื้อ วิตามินและอาหารเสริม ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะการรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่และผักผลไม้สดๆย่อมได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าอยู่แล้ว แถมราคายังถูกกว่าอีกด้วย จริงไหมคะ

4. ย้อมผมอย่างไรให้ปลอดภัยยาย้อมผมเป็นเครื่องสำอางที่มีสารเคมีบางชนิดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากใช้ผิดวิธี เพื่อความปลอดภัยควรทดสอบอาการแพ้โดยทาบนท้องแขนก่อนใช้ 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการคัน บวม แดงจึงย้อมได้ ห้ามใช้ถ้ามีผื่นผิวหนังอักเสบ แผลเปิดหรือรอยถลอกบนหนังศรีษะ ไม่ควรเกาหรือนวดศรีษะก่อนและระหว่างย้อม อย่านำไปย้อมขนที่อื่น เช่น ขนตา ขนคิ้ว ระวังไม่ให้น้ำยาย้อมกระเด็นเข้าตาเด็ดขาด หากมีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน มีผื่นแดงให้หยุดใช้ทันทีแล้วล้างออกด้วยน้ำปริมาณมากๆก่อนไปพบแพทย์

5. ทำอย่างไรดีเมื่อเล็บเปราะบางเล็บเปราะเกิดจากการขาดความชุ่มชื้นซึ่งมักพบในคนที่ล้างมือบ่อยๆหรือขาดแร่ธาตุบางชนิด เช่น ไบโอติน แคลเซียม การใช้ครีมบำรุงผิวเข้มข้นหลังล้างมืออาจทำให้ดีขึ้นบ้าง ควรตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันเล็บฉีกเมื่อต้องหยิบจับของแข็ง หมั่นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงเล็บ เช่น ตับ เนื้อสัตว์ ข้าวกล้อง และถั่ว ถ้ายังไม่ดีขึ้นลองรับประทานไบโอตินขนาด 2.5 มิลลิกรัมกต่อวัน จะช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้นได้

6. สนไหม..สมุนไพรพอกหน้าให้ด่างดำการใช้สมุนไพรพอกหน้าจากสถานเสริมความงามหรือทำด้วยตัวเองต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากโชคไม่ดีแทนที่จะได้หน้าขาวใสกลับได้รอยด่างดำแทน เพราะพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น มะนาว มะกรูด มีสารที่ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบและรอยดำหลังจากสัมผัสสารนั้นแล้วไปตากแดด ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงดีกว่าค่ะ

7. ที่มีของปัญหาผิวแตกลายผิวแตกลาย เป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่นที่โตเร็ว นักกีฬาเล่นกล้าม หญิงตั้งครรภ์และโรคที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน การที่ร่างกายมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังขยายตัวยืดตามไม่ทันจึงเกิดเป็นรอยแผลย่นขึ้น ระยะแรกผิวแตกลายมีสีแดงและจะกลายเป็นสีขาวออกวาวๆในระยะหลัง การทายาในกลุ่มกรดวิตามินเออาจทำให้ดีขึ้นได้บ้าง ส่วนการรักษาเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

8. มอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นมากขาดไม่ได้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณซึ่งมีหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ โลชั่นเหมาะสำหรับคนที่มีผิวผสมหรือผิวแห้งในบางพื้นที่ ครีมเหมาะกับคนผิวแห้งซึ่งควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตันภายหลัง ส่วนผิวแพ้ง่ายให้เลือกชนิดที่ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม และระบุว่าเป็น Hypoallergenic ใครที่หน้ามันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เลยก็ได้ เพราะผิวมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว

9. เหงื่อออกมากผิดปกติที่รักแร้ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เป็นภาวะที่ระบบประสาทซึ่งควบคุมการหลั่งของเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้า คนประสบปัญหานี้จะมีซอกรักแร้เปียกชื้นตลอดเวลาและอาจทำให้มีกลิ่นตัวได้ บางคนไม่กล้าใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆเพราะกลัวจะเห็นเป็นรอยเปียกเหงื่อ การรักษามีหลายวิธี เช่น การทายา Aluminium chloride 20% การรับประทานยาที่มีผลระงับเหงื่อ การฉีดโบท๊อกซ์ และการผ่าตัดต่อมเหงื่อ

10. ยาสีฟันใช้ทาแผลน้ำร้อนลวกได้จริงหรือยาสีฟันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดฟันซึ่งมีส่วนประกอบของสารขัดสี สารควบคุมความเป็นกรด-ด่าง สารที่ทำให้เกิดฟองและสารกันบูด ยังมีคนอีกมากที่ปฐมพยาบาลแผลน้ำร้อนลวกเบื้องต้นด้วยการทายาสีฟัน ความจริงแล้วไม่มีส่วนผสมใดๆในยาสีฟันที่สามารถช่วยรักษาหรือสมานแผลได้เลย แต่อาจทำให้เกิดแผลลุกลามจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนยากต่อการรักษาและทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าปกติได้

11. ถ้าไม่อยากแก่เร็วอยู่ให้ไกลจากบุหรี่ทราบไหมคะว่าการสูบบุหรี่นอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพองและมะเร็งปอดแล้ว ยังมีผลกระทบต่อระบบผิวหนังอีกด้วย สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดเกิดการหดตัวจึงส่งผลให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงผิวหนังลดลง แถมยังมีสารอะซีตาลดีไฮด์ซึ่งถูกปล่อยออกมากับควันบุหรี่ไปรบกวนทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง นานๆเข้าสีผิวจะกลายเป็นสีเหลืองอมเทา เกิดรอยย่นและแก่ก่อนวัยได้

12. ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บการต่อเล็บต้องใช้กาวเป็นตัวเชื่อมระหว่างเล็บจริงกับเล็บปลอม สารประกอบที่สำคัญของกาวเชื่อม คือ เอทธิลไซยาโนอะคริเลท มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีปฎิกิริยาแพ้สารตัวนี้ทำให้ผิวหนังรอบเล็บเป็นผื่นแดง บวม คันมาก และยากต่อการรักษา ดังนั้น การต่อเล็บจึงเป็นทางเลือกของความสวยที่มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน

13. ครีมกันแดดสำหรับวันที่มีแดดเท่านั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ารังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนังไหม้ เกิดริ้วรอย กระ ฝ้าและมะเร็งผิวหนังได้ มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่าถ้าแดดไม่ออกหรือเวลาไปเที่ยวต่างประเทศที่มีเมฆครึ้มหิมะตกก็ไม่ต้องทาครีมกันแดดซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถึงแม้ว่าเมฆจะหนาทึบเพียงใด 80% ของรังสีอัลตร้าไวโอเลตยังคงลอดผ่านลงมาอยู่ดี หรือแม้แต่แสงจากไฟในห้องก็ตามค่ะ

14. ขนคุด ที่มาและวิธีกำจัดขนคุดเกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ขนไม่สามารถงอกออกมาได้อย่างปกติ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็กๆ คลำแล้วรู้สึกสากๆ บริเวณที่พบบ่อยคือต้นแขนและต้นขา ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ บางครั้งอาจมีการอักเสบร่วมด้วยทำให้เห็นเป็นตุ่มแดง พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้ การทายาประเภทอนุพันธ์ของกรดวิตามิน AHA หรือ BHA จะทำให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าหยุดก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก

15. นอนผิดท่าใบหน้ามีริ้วรอยเคยไหมคะว่าที่คุณพบว่าใบหน้ามีรอยย่นหลังตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าหรือว่าร่องแก้มด้านหนึ่งมีรอยลึกมากกว่าอีกด้าน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นนี้มีผลมาจากการนอนในท่าที่มีการกดทับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมงที่เรียกว่า "สลีฟ ลายน์" คนที่ชอบนอนคว่ำหรือนอนตะแคงอาจเกิดรอยแบบนี้ได้มาก หากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งประสบปัญหานี้ให้ลองฝึกนอนหงายดูนะคะ เพราะการนอนหลับในท่านอนหงายจะดีที่สุดสำหรับผิวหน้าของคุณค่ะ

16. จุดซ่อนเร้นสะอาดเกินจำเป็น...อันตรายจุดซ่อนเร้นหรือช่องคลอดของผู้หญิงจะมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจากเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ซึ่งมีผลดีต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะที่เป็นประจำอาจทำให้สมดุลของความเป็นกรดด่างนี้เสียไป ส่งผลให้เชื้อราเติบโตขึ้นมาแทน บางรายอาจเกิดการแพ้และระคายเคืองจากน้ำหอมที่ผสมอยู่ โดยทั่วไปการทำความสะอาดช่อ่งคลอดด้วยน้ำเปล่าและสบู่ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว

17. เรื่องของส้นเท้าแตก แห้งและเจ็บส้นเท้าแตกเป็นอาการของผิวหนังที่แห้งและขาดความชุ่มชื้นอย่างมากทำให้ผิวหนังส่วนนอกหนาและแตกเป็นร่องคล้ายกับผิวดินที่แตกระแหง บางคนพยายามจะดึงหนังที่แข็งๆออก แต่กลับทำให้หนังฉีกลึกลงไปถึงเนื้อด้านในซึ่งจะเจ็บมากเวลาเดิน การรักษาต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้นร่วมกับยาทาที่มีส่วนผสมของยูเรียและกรดซาลิไซลิกทาเป็นประจำทุกวันจึงจะดีขึ้น

ประโยชน์ของบ๊วย

บ๊วย เป็นไม้ผลเมืองหนาวในสกุล Rosaceae เช่นเดียวกับผลไม้อย่าง แอ๊ปเปิ้ล สาลี่ ท้อ พลับ หรือลูกพรุน มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ส่วนในประเทศไทยนั้นมีปลูกนานแล้วโดยแพร่เข้ามาทางภาคเหนือ ลักษณะของผลจะกลม เมื่อยังเล็กจะมีสีเขียว แต่เมื่อผลแก่เต็มที่จะมีสีเหลืองเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 2.5 เซนติเมตร รสชาติของบ๊วยจะขมอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม ในญี่ปุ่นและไต้หวันผลจะแก่และเก็บเกี่ยวได้ในดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ในไทยผลบ๊วยจะแก่เก็บเกี่ยวได้ประมาณเมษายน

แล้วประโยชน์ที่เรารับประทานบ๊วยล่ะมีอะไรบ้าง จะบอกให้นะครับว่าตามที่ได้ศึกษาและค้นพบมาบ๊วยนี่มีประโยชน์หลายอย่างเลยนะครับ ดังนี้ครับ
บ๊วยช่วยเพิ่มกำลัง บรรเทาการอ่อนเพลีย คนเรามีอาการเหนื่อย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน เมื่อร่างกายบกพร่องปริมาณของออกซิเจน เมื่อเลือดเป็นสภาวะกรดสูง ทำให้ตับมักอ่อนแอลง อาการไวรัสลงตับจึงเป็นไปได้สูง
บ๊วยช่วยเสริมระบบการย่อยอาหาร การเผาไหม้สารอาหารในลำไส้ เหมือนกับซีอิ๊วหรือเต้าเจี้ยว
บ๊วยช่วยลดมลพิษ ความเป็นพิษของอาหาร เนื้อสัตว์ในกระเพาะที่บูดเน่าเสียก่อนจะถูกขับออกจากร่างกาย ปรับเป็นทั้งยาระบายและยาลดกรดในกระเพาะแทนอี-โน-กัลดา-เซลเซอร์
บ๊วยเมื่อใดที่ปากมีกลิ่นหรือปัญหาโรคฟัน เหงือกอักเสบ บ๊วยมีสรรพคุณทดแทนยาสังเคราะห์ตามท้องตลาดได้
บ๊วยช่วยได้โดยการชงผสมน้ำอุ่นรับประทานแทน ในกรณีรับประทานอาหารมากเกิน อาหารเป็นพิษ ท้องร่วง อยากอาเจียน มีไข้หรือจุก กระเพาะเสียดแน่น จะช่วยบรรเท่อาการเหล่านี้ได้
บ๊วยช่วยได้ในการแก้อาการเมาค้าง เนื่องจากการดื่มเหล้า สุรามากเกิน ปวดศีรษะ อยากอาเจียน อาหารไม่ย่อย
บ๊วยใช้ในการเดินทาง แก้อาการคลื่นไส้ เมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน อมบ๊วยจะช่วยปรับดุลสภาวะในกระเพาะให้มั่นคง แข็งแรง คนจีนรู้เรื่องการป้องกันเหตุ หากต้องเดินทางไกลด้วยบ๊วย
บ๊วยซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่างจึงสามารถช่วยแก้ปัญหาสตรีที่มีครรภ์ แพ้ท้อง อยากรับประทานอาหารรสเปรี้ยว เช่นมะนาว และส้ม ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดหากรับประทานมากเกินไปอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้
สรรพคุณเยอะเลยใช่มั้ยครับ โดยทั่วไปบ๊วยจะนำมาแปรรูปกันก่อนที่จะนำมารับประทานกัน เพราะอย่างที่บอกครับว่าผลแก่ของมันนี่รสชาติไม่อร่อยเท่าไหร่ แต่เมื่อนำมาแปรรูปแล้วและมีการแต่งรสชาติ บ๊วยจัดได้ว่าเป็นผลไม้แปรรูปที่รสชาติดีทีเดียว

เจ้าหญิงอนาสตาเซีย

เจ้าหญิงอนาสตาเซียเป็นพระราชธิดาในพระเจ้านิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียประสูติเมื่อวันที่ 18 มิ.ย พ.ศ 2444 สิ้นพระชนม์ วันที่ 17 ก.ค พ.ศ 2461 พระองค์มีพระเชฏฐภคินี(พี่สาว)สามพระองค์ มีพระอนุชาหนึ่งพระองค์คือเจ้าชายอเล็กซีเจ้าหญิงถูกยิงสิ้นพระชนม์พร้อมครอบครัวที่ห้องใต้ดินในบ้านหลังหนึ่งที่เมืองเอคาเตลินเบิร์กโดยทหารของพวกบอลเชวิก ภายหลังได้มีหญิงคนหนึ่งชื่อว่า แอนนา แอนเดอสัน
อ้่างตัวว่าเป็นเจ้าหญิงหนีรอดชีวิตมาได้(เขาว่าแกหวังสมบัติ)แต่เมื่อแกตายไปหลายปี
หมอได้ตรวจดีเอ็นเอพบว่าไม่เป็นเรื่องจริงแต่ประการใด เมื่อทหารบอลเชวิกฆ่าราชวงศ์โรมานอฟตายได้เอาร่างคนทั้งหมดไปโยนลงเหมืองเก่าพร้อมราดน้ำมันจุดไฟเผาทำลายหลักฐานต่อมาได้นำศพไปฝังใต้รางรถไฟเก่าในป่า(ตอนเผาอากาศคงหนาวมาก ศพไหม้ไม่หมดดี)หลายปีต่อมามีคนไปขุดเจอโครงกระดูก ทางการได้ทำการพิสูจน์ทางดีเอ็นเอโดยนำเส้นผมของเจ้าชายฟิลลิปพระสวามีในควีนอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษมาประกอบ(เจ้าชายเป็นญาติกับมเหสีพระเจ้านิโคลัสที่ 2)จึงสรุปว่าเป็นโครงกระดูกของราชวงศ์โรมานอฟจริง
มีหลักฐานอีกหลายอย่างให้รู้ว่าเป็นของจริง เช่น การทำฟันของมเหสีในยุคสมัยนั้น
ลูกกระสุนปืนสมัยนั้นที่ติดอยู่ในไขมันศพหมอหลวงที่ไหม้ไม่หมด ฯลฯ
มีศพหายไปสองร่างคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียและเจ้าชายอเล็กซี คิดว่าคงอยู่แถวๆนั้นหรือถูกเผา
ทำลายไปหมดแล้ว บางคนเชื่อว่าอนาสตาเซียหนีรอดมาได้ แต่ความเป็นจริงถ้าพวกบอลเชวิกจะ
ฆ่าใคร คนนั้นต้องตายแน่นอนไม่มีทางหนีรอด นี่คือโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์โรมานอฟ